Red on the Rock “Mission Possibl3s”

“ผมคงไม่อยู่คุมทีมไปจนถึงวัย 70 แน่ๆ ไม่มีทาง คุณมั่นใจได้เลย” ถ้อยแถลงนี้อาจจะเป็นแค่คำพูดของคุณปู่คนหนึ่ง และคงไม่มีใครหน้าไหนให้ความสนใจมากนัก หากไม่ได้หลุดออกมาจากปากคุณปู่เจ้าของชื่อ “เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน”
แค่เห็นคำปริศนาจากปากคำของคุณปู่วัย 66 ปี โดยที่ไม่ต้องพึ่งฝีมือจากสุดยอดอัจฉริยะข้ามคืนคนไหน ก็สามารถถอดรหัสได้ว่า นายใหญ่จากรั้วโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ขีดเส้นตายให้ตัวเองไว้ไม่เกิน 3 ปีเท่านั้น ก่อนจะปิดฉาก “สุดยอดบรมกุนซือ” อย่างเป็นทางการ
คุณปู่อเล็กซ์ของหลานๆ เหมาะสมกับคำว่า “สุดยอดบรมกุนซือ” อย่างไร้ข้อกังขา จะหาใครที่เกิดมาเพื่อทวงความยิ่งใหญ่กลับคืนสู่ถิ่นฐาน ได้อย่างที่ “ป๋าเฟอร์กี้” ได้ฝากผลงานเอาไว้ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เริ่มต้นบทบาทผู้จัดการทีมกับ “อีสต์ สเตอร์ลิงเชียร์” ด้วยวัยเพียง 32 ปีเท่านั้น หลังจากนั้นไม่นานก็ย้ายมาคุม “เซนต์ เมอร์เรน” ซึ่งที่นี่เองเป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จทั้งหมด เฟอร์กูสัน ใช้เวลาเพียง 3 ปี ก็พาทีมขึ้นเถลิงแชมป์ดิวิชั่น 1 ก้าวสู่ลีคสูงสุดเมืองวิสกี้ได้สำเร็จในซีซั่น 1976-77 ก่อนจะเก็บกระเป๋าเข้าซบรัง “อเบอร์ดีน” ในเดือนมิถุนายน 1978 อันเป็นอีกย่างก้าวสู่ความยิ่งใหญ่
เฟอร์กี้ สร้างทีมขึ้นมาต่อกรกับยักษ์ใหญ่อย่าง “เซลติก” และ “เรนเจอร์ส” ได้อย่างสนุกสุดเหวี่ยง และพา อเบอร์ดีน ขึ้นครองบัลลังแชมป์ลีคสูงสุด ที่รอคอยมานานถึง 25 ปีได้สำเร็จในระยะเวลาแค่ 2 ปีเท่านั้น ก่อนจะคว้าแชมป์สก็อตติช พรีเมียร์ลีค ได้อีก 2 สมัยในปี 1983-84 และ 1984-85 นอกจากนั้นยังพาทีมคว้าแชมป์บอลถ้วยได้อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น สก็อตติช คัพ 4 สมัย สก็อตติช ลีค คัพ 1 สมัย รวมไปถึงแชมป์ “ยูโรเปี้ยน คัพ วินเนอร์ส คัพ” ที่ปราบ “รีล มาดริด” ลงได้สำเร็จในปี 1982-83

และแล้วเมื่อซีซั่น 1986-87 เริ่มต้นขึ้น “สุดยอดทีม” ก็ถึงเวลาได้ประสบพบเจอกับ “สุดยอดกุนซือ” ทันทีที่ “บิ๊กรอน” แอตกินสัน มีอันต้องพ้นจากโรงละครแห่งความฝันไป ด้วยข้อหาห่างไกลจากแชมป์ลีคสูงสุด ก็เปรียบดังการจากไปของ “ชีซี” ที่นำมาซึ่ง “ขงเบ้ง” กุนซือผู้กอบกู้ราชวงศ์ฮั่นอันเกรียงไกล เมื่อกุนซือชาวสก็อตก้าวเข้ามารับหน้าที่คุมปีศาจแดงที่หลับใหลมายาวนานกว่าสองทศวรรษ แต่ศึกครั้งแรกบนสังเวียนดิวิชั่น 1 โบราณนั้น หาได้ง่ายดายเหมือนกับ “ศึกเนินพกบ๋อง” จึงทำให้ปีแรกภายใต้การคุมทีมของเฟอร์กี้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำได้เพียงอันดับที่ 11 ตามหลังจ่าฝูงถึง 30 แต้ม ซึ่งอาจเป็นเพราะในทีมปีศาจแดงเวลานั้น หาได้มีนักเตะอย่าง “กวนอู” “เตียวหุย” หรือ “จูล่ง” ก็เป็นได้ ทำให้ปีต่อมาปีศาจแดงจึงสั่งนำเข้า “สตีฟ บรูซ” และ “ไบรอัน แม็คแคลร์” ด้วยค่าตัวอันเป็นสถิติในเวลานั้น จนทำให้จบปีนั้นด้วยตำแหน่งรองแชมป์ ตามหลัง “ลิเวอร์พูล” สุดยอดทีมบนเกาะอังกฤษเวลานั้นอยู่ 9 คะแนน
ตลอด 3 ปีแรกในเมืองแมนเชสเตอร์ ดำเนินไปอย่างไร้ซึ่งวี่แววแชมป์ใดๆ ทั้งสิ้น ถึงขนาดที่แฟนบอลบางจำพวกออกมาชูป้ายเย้ยหยัน และสาปส่งกันเลยทีเดียว แต่หลังจากโดนกดดันอย่างหนักจากทั้งแฟนบอล และบอร์ดบริหาร เฟอร์กี้ก็คว้าโทรฟี่ใบแรกที่อังกฤษได้สำเร็จ ด้วยลูกยิงของ “ลี มาร์ติน” ในแมทต์ชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ นัดรีเพลย์ ซึ่งช่วยให้เจ้านายยังคงมีงานทำต่อไป และเป็นใบเบิกทางให้แชมป์ต่อมา “ยูโรเปี้ยน คัพ วินเนอร์ส คัพ” ในปี 1991 และ “ลีค คัพ” ในปี 1992 ก่อนจะมาคว้าแชมป์ลีคสูงสุดที่ได้ฤกษ์เปลี่ยนชื่อเป็น “พรีเมียร์ ลีค” ได้สำเร็จ สิ้นสุดการรอคอยอันยาวนาน 26 ปี ไม่รู้เหมือนกันว่าหลังจากนั้น “พวกดีแต่จะเอา ไม่เคยหยิบยื่นโอกาส” หดหัวไปอยู่ไหนหมด
นับตั้งแต่ก้าวแรกที่เหยียบบนแผ่นดินปีศาจแดง ก็ล่วงเลยมายาวนานเกือบ 22 ปีเข้าไปแล้ว ความสำเร็จมากมายถาโถมเข้าสู่โรงละครแห่งความฝันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ถ้วยรางวัลที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ทั้ง 29 ใบ เป็นเครื่องพิสูจน์ได้อย่างดี

แต่ “ไม่มีงานเลี้ยงใดที่ไม่เลิกรา” จึงมีคำถามอยู่เสมอว่า เมื่อไหร่ “ป๋าเฟอร์กี้” จะละจากบังเหียนปีศาจเสียที จนเป็นผลให้เกิดคำตอบอย่างถ้อยแถลงข้างต้นออกมาในที่สุด แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ป๋าประกาศวางมือ การประกาศล้างมือในอ่างทองคำเยี่ยง “หลิวเจิ้นฟง” เกิดขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อฤดูกาล 2001-02 ก่อนจะต้องกลับลำกะทันหัน หลังปีศาจแดงที่คว้าแชมป์ลีคมา 3 ปีติด ประสบกับฟอร์มผีออกกระฉูด จนจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 3 ต่ำสุดนับตั้งแต่พรีเมียร์ ลีค ถือกำเนิดขึ้นมาบนโลก
นอกจากจะถอดรหัสระยะเวลาที่เหลือของเฟอร์กี้แล้ว ยังต้องถามต่อไปอีกว่า “แล้วทำไมต้อง 3 ปี” ระยะเวลาเพียง 3 ปี อาจน้อยนิดสำหรับเด็กมัธยมต้น ที่จะค้นหาตัวเองว่าควรศึกษาต่อสายสามัญหรือมุ่งสายอาชีพ ระยะเวลาเพียง 3 ปี อาจน้อยนิดสำหรับเด็กมัธยมปลาย ในการเตรียมตัวสู้ศึกใหญ่ที่มีอนาคตเป็นเดิมพัน และระยะเวลาเพียง 3 ปี อาจจะน้อยไปสำหรับบอร์ดบริหารปีศาจแดง ที่จะควานหาตัวตายตัวแทนของเฟอร์กี้ แต่มันก็ยังดีกว่าไม่เหลือเวลาให้เลย
ประสบการณ์เมื่อ 6 ปีที่แล้ว น่าจะส่งผลต่อการตัดสินใจประกาศครั้งนี้ไม่มากก็น้อย นอกจากจะส่งสัญญาณให้บอร์ดบริหารเตรียมการควานหากุนซือคนใหม่กันตั้งแต่หัววันแล้ว ยังเป็นการสั่งลาลูกทีมเสียแต่เนิ่นๆ ป้องกันการกลับมาย้อนรอยของฟอร์มผีออกกระฉูดอีกครั้งด้วย
นอกจากนั้น ระยะเวลา 3 ปีต่อจากนี้ เซอร์ อเล็กซ์ ยังต้องดำเนินภารกิจพิชิต “สุดยอดทีมของอังกฤษ” ต่อไป เพราะถึงแม้จะพาปีศาจแดงครองความยิ่งใหญ่คับเกาะอังกฤษมาตลอด 16 ปีที่ผ่านมาก็ตาม แต่ด้วยบุญเก่าทั้ง 18 สมัยของ “ลิเวอร์พูล” ก็ทำให้พลพรรคเรด อาร์มี่ ไม่อาจยืดอกได้อย่างเต็มภาคภูมิ จวบจนสิ้นฤดูกาล 2007-08 ที่เพิ่งผ่านไปนี่เองที่ช่องว่างของตำแหน่งแชมป์สูงสุดเหลือเพียง 1 สมัยเท่านั้น และแชมป์อีกเพียงครั้งเดียวจาก 3 ฤดูกาลที่เหลือ ก็จะทำให้ปีศาจแดงขึ้นไปเทียบเคียงกับคำว่า “สูงสุด” แต่เชื่อแน่ว่า “ป๋าเฟอร์กี้” คงไม่อยากใช้ตำแหน่งแชมป์สูงสุดร่วมกับใครแน่นอน ยิ่งหากใน 3 ปีนี้ สามารถพาทีมที่ได้ชื่อว่า “ดีที่สุด” ครองเจ้ายุโรปได้สำเร็จอีกอย่างน้อย 2 สมัย ปีศาจแดงก็จะก้าวขึ้นเป็น “สุดยอดทีมของอังกฤษ” อย่างเต็มตัว!

และเหนือสิ่งอื่นใด ในระยะเวลา 3 ปีจากนี้ ป๋าจะได้ฝังรากความสำเร็จ ณ โรงละครแห่งความฝันให้ลึกลงไปอีก ไม่ให้ซ้ำรอยอย่าง “เซอร์ แมตต์ บัสบี้” ที่หยิบเอาความสำเร็จติดมือไปด้วย หลังล้างมือในอ่างทองคำใบโต แล้ววันนั้นคุณปู่วัย 70 คงได้ยิ้มแฉ่งเคียงข้างภริยาคู่ใจ เฝ้ามองทีมที่อุตส่าห์ฟูมฝักมากว่า 25 ปี ที่ยังคงตะบันสู่ความสำเร็จอย่างไม่หยุดหย่อนต่อไป…ต่อไป และ ต่อไป
chokechone11

2001-2024 RED ARMY FANCLUB Official Manchester United Supporters Club of Thailand. #ThaiMUSC

Related Posts